ข่าวประชาสัมพันธ์

(ข่าวที่31/2564)อย. ประกาศให้ วศ. เป็นหน่วยตรวจสอบหรือตรวจวิเคราะห์เสื้อกาวน์ทางการแพทย์ ชุดคลุมและผ้าสำหรับชุดปฏิบัติทางการแพทย์ มีผลบังคับใช้ 3 ปี

 C3

        นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เปิดเผยว่าในสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมามีความต้องการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์สูงมาก โดยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ต้องคำนึงถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์ มาตรฐาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และเพียงพอต่อการใช้งานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งประเทศ การกำหนดมาตรฐานจึงสร้างความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ รวมทั้งลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้

 C2 5

        การดำเนินการที่สำคัญ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกประกาศ เรื่อง บัญชีองค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบหรือวิเคราะห์เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2564 โดยกำหนดให้กองวัสดุวิศวกรรม วศ. ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ตามรายการและวิธีทดสอบ ได้แก่ เสื้อกาวน์ทางการแพทย์ ชุดคลุมปฏิบัติการทางการแพทย์ และผ้าสำหรับเสื้อกาวน์และชุดคลุมปฏิบัติการทางการแพทย์ โดยมีรายการทดสอบความต้านน้ำซึมโดยใช้เครื่องทดสอบแบบความดันน้ำสถิต และใช้วิธีทดสอบแบบ AATCC 127:2017(2018)e (option 2) ตามมาตรฐาน ANSI/AAMI PB 70:2012 ซึ่งประกาศมีผลใช้บังคับ 3 ปี นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลบังคับใช้เป็นต้นไป

C3 2 C3 1


       นพ.ปฐมฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตามประกาศ อย. ฉบับนี้ จะทำให้ วศ. ซึ่งเป็นหน่วยเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ทดสอบ มีศักยภาพในการทดสอบคุณภาพตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย ผู้สนใจบริการวิเคราะห์ทดสอบ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กองวัสดุวิศวกรรม กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทร.02-2017000 ในวันและเวลาราชการ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ฝ่ายประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2210 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctorD/

 

(ข่าวที่30/2564)อว. โดย วศ.เชิญชวนไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลตรุษจีน แบบ New Normal

 

C2

        กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยต่อชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม เนื่องในช่วงเทศกาลตรุษจีน เป็นการเฉลิมฉลองจะต้องมีการไหว้เจ้าและบรรพบุรุษที่เคารพนับถือ สิ่งของที่ขาดไม่ได้ในพิธีกรรมต่างๆ คือ ธูป กระดาษเงิน และกระดาษทอง ที่ทำให้เกิดควันที่มีสารมลพิษ สารก่อมะเร็ง และไอระเหยโลหะหนัก ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ เมื่อสูดหายใจเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองตาและระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งทำให้ปวดศีรษะได้ โดยความรุนแรงของอาการอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละบุคคล ปริมาณและระยะเวลาที่ได้รับสัมผัสเป็นต้น


          กรมวิทยาศาสตร์บริการ มีข้อแนะนำในการจุดธูปหรือเผากระดาษเงินกระดาษทอง แบบ New Normal ที่ควรปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันอันตรายดังนี้
1.สวมหน้ากากอนามัยขณะจุดธูปไหว้ และเผากระดาษเงินกระดาษทอง
2.เลือกธูปขนาดสั้นที่มีเนื้อธูปน้อยๆ เพื่อให้เกิดควันในระยะเวลาที่สั้นกว่าธูปขนาดยาว
3.หลีกเลี่ยงการจุดธูปในบริเวณที่อากาศไม่ถ่ายเทหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก เมื่อเสร็จพิธีการควรดับธูปด้วยน้ำหรือทราย และเก็บธูปให้เร็วขึ้น
4.เผากระดาษเงินกระดาษทองนอกอาคารที่พักอาศัย โดยขณะเผาควรยืนอยู่เหนือลม
5.เผากระดาษเงินกระดาษทองทีละน้อยเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของเขม่าเถ้ากระดาษ และไม่ควรเผาขณะที่มีเด็กหรือผู้คนเดินผ่านไปมา
6.ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสก้านธูป ควันธูป และกระดาษเงินกระดาษทอง


        วศ.โดย กองเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์อุปโภค กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ ให้บริการทดสอบโลหะหนักในธูป 10 ตัวอย่าง พบว่ามีเพียงตัวอย่างเดียวที่มีปริมาณสารหนูเกินเกณฑ์กำหนด ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตธูปคือ ขี้เลื่อย กาว น้ำมันหอมที่สกัดจากส่วนของพืช เรซิน และสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม พอกอยู่บนก้านไม้ โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหรรมจึงได้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมธูป (มอก. 2345-2550) เพื่อส่งเสริมให้การผลิตธูปมีคุณภาพ และปลอดภัยต่อผู้ใช้ เกี่ยวกับสารเป็นพิษว่า ต้องไม่มีปริมาณโลหะหนัก ตะกั่ว แคดเมียม โครเมียม สารหนู และปรอทเกินเกณฑ์ที่กำหนด โดยเกณฑ์กำหนดของโลหะหนักคือ 20, 10, 20, 2 และ 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมตามลำดับ


           สำหรับการทดสอบโลหะหนักในกระดาษเงินกระดาษทอง พบว่ามีปริมาณโลหะ ตะกั่วเล็กน้อย เรื่องสารเป็นพิษที่เกิดจากการเผากระดาษเงินและกระดาษทอง เป็นเรื่องที่นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ และคณะได้ศึกษาวิจัยไว้ พบว่ามีสารพาร์ (Polycyclic aromatic hydrocarbons, PAHs) เบนซีน และ 1,3-บิวทาไดอีน และไอระเหยของตะกั่วด้วย นอกจากนี้ยังพบโลหะหนัก 4 ชนิดคือ โครเมียม นิกเกิล ตะกั่ว และแมงกานีส ในขี้เถ้าธูปและขี้เถ้าจากการเผากระดาษเงินและกระดาษทอง ซึ่งมีปริมาณมากกว่าในฝุ่นละอองในอากาศประมาณ 3-60 เท่า โดยวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกระดาษเงินกระดาษทองคือ เยื่อไม้หรือเยื่อไม้ไผ่ ผสมกับสารเติมแต่งต่างๆ มีทั้งฉาบด้วยตะกั่ว ทาสีคล้ายตะกั่ว และพิมพ์ระบบออฟเซ็ต ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกระดาษเงินและกระดาษทอง


            ด้วยความห่วงใยจากกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในสถานะการณ์ปัจจุบันให้รักษาระยะห่างตามมาตรการ รักษาสุขภาพของตนเองและบุคคลในครอบครัว และร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้สามารถสอบถามข้อมูลบริการทดสอบ เพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ กองเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์อุปโภค โทร 02-201 7348 ในวันและเวลาราชการ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ฝ่ายประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2210 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctorD/

(ข่าวที่29/2564)อว.วศ. ห่วงใยคนกรุงฯ เก็บน้ำประปาตรวจพิสูจน์พบเกินมาตรฐานแนะวิธีกำจัดความเค็มเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน

C2 2

 

 

         นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) เปิดเผยว่า ช่วงเดือนมกราคม 2564 ถึงปัจจุบัน พบว่า คนกรุงเทพฯ และเขตปริมณฑลประสบภาวะน้ำประปาเค็ม สร้างความกังวลให้กับพี่น้องประชาชนที่ต้องบริโภคน้ำประปาโดยไม่ผ่านเครื่องกรองน้ำ ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นสาเหตุของน้ำประปาเค็มเกิดจากสภาวะภัยแล้งและมวลน้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติทำให้น้ำเค็มขึ้นมาถึงจุดรับน้ำดิบที่ใช้ผลิตน้ำประปาส่งผลให้แหล่งน้ำผลิตประปามีความเค็มเกินมาตรฐาน

C2 3 C2 4


          โดย วศ. ได้ทดลองเก็บตัวอย่างน้ำประปาภายในกรมฯ มาตรวจหาปริมาณคลอไรด์ เมื่อวันที่ 3 และ 8 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่ามีค่าคลอไรด์เท่ากับ 345 และ 271 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งค่ามาตรฐานที่กำหนดของน้ำบริโภคจะต้องมีค่าคลอไรด์สูงสุดไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งโทษของการบริโภคน้ำเค็มนั้นไม่มีอันตรายต่อคนทั่วไปที่มีสุขภาพปกติ เนื่องจากในชีวิตประจำวันเราได้รับคลอไรด์จากการรับประทานอาหารมากกว่าในน้ำดื่มแต่จะมีผลกระทบเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยและผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคทางสมอง
           พร้อมกันนี้ วศ. ได้แนะนำวิธีกำจัดความเค็มจากน้ำประปา ซึ่งประกอบด้วย 3 วิธี คือ
1. การกลั่น (Distillation) สามารถกำจัดทั้งคลอไรด์และของแข็งที่ละลายน้ำได้
2. การกรองด้วยระบบ RO (Reverse Osmosis) สามารถกำจัดคลอไรด์โดยการใช้แรงดันน้ำผ่าน membrane ระบบ RO นี้ เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดสารต่าง ๆ ออกจากน้ำโดยเฉพาะสารที่มีขนาดเล็กมาก เช่น โซเดียมไอออนและคลอไรด์ไอออน
3. Deionization หรือขบวนการขจัดไอออน สามารถกำจัดคลอไรด์โดยการดูดซับด้วย anion-exchange resin ซึ่งสามารถดูดซับแอนไอออนตัวอื่นได้ด้วย เช่น ซัลเฟต ถ้ามีซัลเฟตในน้ำตัวดูดซับจะจับกับซัลเฟตได้ดีกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซับคลอไรด์ลดลง การต้ม (Boiling) การดูดซับด้วยคาร์บอน (Carbon Adsorption Filters) และ Water Softener ไม่สามารถกำจัดคลอไรด์ได้
         ทั้งนี้ผู้ประกอบการ และประชาชนสามารถติดตามรายงานคุณภาพน้ำประปารายวันในพื้นที่ กทม. นนทบุรีและสมุทรปราการ ผ่านทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ของการประปานครหลวงได้เพื่อเตรียมสำรองน้ำสำหรับดื่มไว้ล่วงหน้า เพราะในช่วงเวลาของแต่ละวันความเค็มของน้ำจะแตกต่างกัน หรือส่งมาทดสอบได้ที่ วศ. เพื่อทดสอบหาปริมาณคลอไรด์ในน้ำ นอกจากนี้ยังให้บริการทดสอบน้ำอุปโภคบริโภคตามมาตรฐานต่างๆ เช่น มาตรฐานน้ำบริโภค (มอก.257) ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุปิดสนิท (สธ.ฉบับที่ 61 และ 135) เกณฑ์คุณภาพน้ำประปาดื่มได้ เป็นต้น

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ฝ่ายประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2210 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctorD/

(ข่าวที่28/2564)วศ.พัฒนาคุณภาพแลปทดสอบคุณค่าทางโภชนะของอาหารสัตว์ ตามมาตรฐานสากล รวม 55 ห้องปฏิบัติกา

C1 4 C1 1

C1 2 C1 3

         วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) โดยกลุ่มทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ กองความสามารถห้องปฏิบัติการและรับรองผลิตภัณฑ์ จัดกิจกรรมทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ (proficiency testing, PT) โดยดำเนินการจัดส่งตัวอย่างอาหารสัตว์ ให้แก่ห้องปฏิบัติการที่ร่วมกิจกรรม เป็นห้องปฏิบัติการภายในประเทศ จำนวน 55 ห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ห้องปฏิบัติการดำเนินการทดสอบผลการวัด ในรายการ Minerals (Ca, Cu, Fe, Mg, Mn, K, Na, Zn and P) in feeding stuffs และส่งผลกลับมายังกลุ่มทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ วศ. ภายในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อประเมินผลทางสถิติเปรียบเทียบผลการวัดระหว่างห้องปฏิบัติการต่อไป
       การดำเนินงานที่สำคัญ การทดสอบคุณภาพของแร่ธาตุในอาหารสัตว์ จะต้องได้รับการควบคุมให้เป็นไปตามมาตรฐาน ดังนั้นผลการทดสอบของห้องปฏิบัติการจึงมีความสำคัญ ซึ่งแต่ละห้องปฏิบัติอาจใช้วิธีวิเคราะห์ทดสอบที่เป็นมาตรฐาน โดยในธรรมชาติทุกเนื้อเยื่อของสัตว์และอาหารสัตว์จะประกอบด้วยสารอนินทรีย์ หรือแร่ธาตุต่างๆ ในปริมาณที่แตกต่างกัน กลุ่มของแร่ธาตุตามความจำเป็นที่เกี่ยวข้องกับขบวนการเมตาโบลิซึมของร่างกาย สามารถแบ่งกลุ่มของแร่ธาตุออกได้เป็น 3 กลุ่มคือ
1. กลุ่มแร่ธาตุที่มีความจำเป็นเกี่ยวกับการสร้างโครงร่างของร่างกาย (structural elements) เช่น แคลเซียม (Ca) ฟอสฟอรัส (P) เป็นต้น
2. กลุ่มแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบของของเหลวในร่างกายและเนื้อเยื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความสมดุลของกรดและด่างในร่างกาย รักษาความดันออสโมติก (Osmotic pressure) ของส่วน ต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น โซเดียม (Na) โพแตสเซียม (K) และคลอไรด์ (Cl) เป็นต้น
3. กลุ่มแร่ธาตุที่ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์และฮอร์โมน เช่น ธาตุเหล็ก (Fe) ทองแดง (Cu) แมงกานีส (Mn) แมกนีเซียม (Mg) สังกะสี (Zn) เป็นต้น
      ทั้งนี้ วศ. สนับสนุนผู้ประกอบการที่ทำการทดสอบคุณภาพด้านอาหารและอาหารสัตว์ โดยจัดกิจกรรมทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ สาขาอาหาร รายการข้างต้น เพื่อประเมินสมรรถนะและพัฒนาคุณภาพห้องปฏิบัติการให้ได้ผลการทดสอบเป็นไปตามมาตรฐานสากล ถือเป็นการประกันคุณภาพผลการทดสอบอย่างหนึ่งของห้องปฏิบัติการทดสอบที่ได้รับการรับรองระบบคุณภาพตามมาตรฐาน ISO/IEC17025 เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในผลการทดสอบว่ามีความแม่นยำ ถูกต้อง รวมถึงเป็นที่ยอมรับทั้งหน่วยงานรัฐบาล และเอกชน ที่ส่งตัวอย่างมาทดสอบได้ต่อไป

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ฝ่ายประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2210 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctorD/

(ข่าวที่27/2564)วศ.​ จับมือ สทน.​ ขยายขอบข่ายความมือด้านการวิจัยและพัฒนาตอบโจทย์ความต้องการขอประเทศ

 B10 3

      5 กุมภาพันธ์​ 2564 ณ ห้องอัครเมธี ชั้น 6 อาคารตั้ว ลพานุกรม คณะผู้บริหารกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) นำโดย นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ประชุมหารือร่วมกับ รศ. ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ​ องค์การมหาชน ​(สทน.)​ และคณะ เพื่อขยายกรอบความร่วมมือทางวิชาการ ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาให้คลอบคลุมความต้องการของประเทศ

B10 1 B10 4

B10 5 B10 2


       ทั้งนี้ นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ อธิบดี วศ. เปิดเผยว่า ประเด็นสำคัญที่จะอยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว จะครอบคลุมงานวิจัยและพัฒนา ด้านการพัฒนาวัสดุอวกาศ การพัฒนาวัสดุกำบังรังสี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาง การตรวจเพื่อรับรองเกษตรอินทรีย์ การจัดทำมาตรฐาน ​การถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีอาหารสู่ชุมชน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพ​บุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยนำเทคโนโลยีนิวเคลียร์และรังสี​มาร่วมประยุกต์ใช้เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่​ ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศต่อไป

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ฝ่ายประชาสัมพันธ์/ทีมงานโฆษก กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

เลขที่ 75/7 ถนนพระรามที่ 6 ราชเทวีกรุงเทพฯ 10400 โทร 0 2210 7095-8 โทรสาร 0 2201 7470 e-mail : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

www.facebook.com/DSSTHAISCIENCE , www.facebook.com/ScienceDoctorD/

  1. (ข่าวที่26/2564)วศ.เปิดแลปทดสอบการระบายอากาศของพัดลม ต้อนรับการดูงานของผู้แทน บ.ฮาตาริ
  2. (ข่าวที่25/2564)วศ.ร่วมส่งมอบนวัตกรรม PAPR ฝีมือคนไทย แก่กระทรวงสาธารณสุขก่อนกระจายสู่ 77 จังหวัดทั่วประเทศ
  3. (ข่าวที่24/2564)วศ.จัดกิจกรรมทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการ สาขาสอบเทียบ รายการ Calibration of Electronic Balance (Round 1)
  4. (ข่าวที่23/2564)วศ. จัดกิจกรรมทดสอบความชำนาญห้องปฏิบัติการสาขาสอบเทียบรายการ Calibration of Gauge Block
  5. (ข่าวที่22/2564)วศ.เตรียมขับเคลื่อนองค์กร สู่ทศวรรษที่ 14 เล็งปรับแนวทางการทำงานในรูปแบบ Agile Team เพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  6. (ข่าวที่21/2564)อว. โดย วศ. ส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ให้กับสำนักงานเขตพระนคร บริการประชาชาชนในพื้นที่
  7. (ข่าวที่20/2564)วศ.จัดพิธีมอบรางวัลการประกวดออกแบบโลโก้ เนื่องในโอกาสครบรอบ 130 ปี
  8. (ข่าวที่19/2564)คณะผู้บริหารกรมวิทยาศาสตร์บริการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาครบรอบ 130 ปี วศ.
  9. (ข่าวที่18/2564)อว. โดย วศ. พร้อมส่งมอบเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ให้กับสำนักงานเขตพระนคร และพื้นที่ควบคุม 5 จังหวัด บริการบุคลากรทางการแพทย์และประชาชาชน
  10. (ข่าวที่17/2564)อว. โดย วศ. พัฒนาชุดสมาร์ทคิทเพิ่มความถูกต้องให้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟาเรดพร้อมจัดทำต้นแบบนำร่องให้ผู้ประกอบการ